วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความทรงจำในวัยเด็กของฉัน


อยู่ๆวันนี้บีก็กลับมาคิดถึงเรื่องราวต่างๆสมัยเด็ก
หลายๆเรื่องมันยังอยู่ในความทรงจำเสมอ


         วันนี้บีก็เลยอยากจะมาแชร์เหตุการณ์สำคัญในวัยเด็กที่ยังจารึกในความทรงจำบี ที่พอตอนนี้บีกลับไปคิด บีก็รู้สึกดีกับความทรงจำนั้น


    วัยเด็กของบี ดูเป็นอะไรที่ไม่ได้สดใสนัก เพราะตอนเด็กนั้นบีเป็นเด็กที่ขี้อาย และเขินง่ายมากๆ
 (ซึ่งแตกต่างกับปัจจุบัน555)
ที่สำคัญคือตอนเด็กบีจะปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงต่างๆไม่ค่อยได้ 
ตอนชั้นอนุบาล1 บีจำได้ว่าบีไม่มีเพื่อนสนิทเลย และก็ร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียนบ่อยๆ
มีวีรกรรมหลายอย่างที่บีทำตอนเด็กเพื่อที่จะไม่ต้องไปโรงเรียน 
เช่น แกล้งป่วย แถมทุกเช้าที่ไปโรงเรียนบีจะร้องไห้ทุกวัน

เรื่องแรกขอตั้งชื่อว่า "ซุปเปอร์ฮี่โร่สมัยอนุบาล1"

ตอนเด็กบีติดพี่ชายมากและด้วยความที่ไม่มีเพื่อนสนิท พี่ชายบีเลยต้องมาเล่นกับบีเสมอ
 ทั้งนี้ก็เป็นเพราะแม่กำชับไว้และพูดบ่อยๆจนติดหูบีว่า 
บอสต้องรักน้อง

อย่างที่บีเกริ่นไว้ว่าบีเป็นเด็กที่เข้ากับคนอื่นได้ยาก ทำให้ชีวิตในวัยอนุบาล1 ต้องพึ่งพิงพี่ชายเสียมาก
โดยเฉพาะในช่วงกลางวัน ชั้นอนุบาล1จะมีนอนกลางวัน 

อันนี้เห็นจะเหมือนกับเกือบทุกโรงเรียน!!

บีก็ต้องนอนด้วยเหมือนกัน หากจะพูดให้ถูกเป็นการจำใจนอนเสียมากกว่า

ตอนกลางวันบีจะเหงา คิดถึงแม่ คิดถึงพี่ชาย แล้วก็งอแง ร้องไห้บ่อยๆ 
ครูเลยอนุญาติให้บีไปนอนห้องอนุบาล3 ซึ่งเป็นห้องเรียนของพี่ชายบีได้บ่อยๆ

กลับไปคิดถึงตอนนั้น บีในสมัยเด็กคงจะงอแงเก่งน่าดู 
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีอาจารย์ท่านไหนที่ยอมฝืนกฏให้แน่ๆ

บ่ายวันหนึ่งบีนอนไม่หลับ ก็เลยชวนพี่ชายคุย นอนคุยไปเรื่อยๆ สัพเพเหระ หัวเราะคิกคิก
 พี่ชายก็กระซิบมาว่า 
"อย่าหัวเราะเสียงดัง เดี๋ยวครูว่า"
ราวกับพี่ชายบีเป็นเทวดาที่มีวาจาศักดิ์สิทธิ์ สิ้นคำพูดของพี่ชาย ครูสาวก็ตะโกนขึ้นมาว่า

บีกับพี่ชายค่ะ


"ตรงนั้นใครคุย ยืนขึ้นเดี๋ยวนี้"
จังหวะนั้น ใจบีคงเต้นรัวเหมือนกลองแต๊ก

ในความเป็นจริงแล้ว บีรู้ทั้งรู้ว่าบีคือสาเหตุของเสียงดังนั้น แต่ตัวบีเองก็กล้าๆกลัวๆ ไม่กล้าลุกขึ้น
ทันใดนั้น พี่ชายบีก็ลุกขึ้นยืนทันที พร้อมกับหันมาบอกบีว่า "นอนไปเลย"

ตอนเด็กบีเองก็รู้สึกผิดนะ จำได้ว่าน้ำตาคลอเลย 
มันซึ้งนะ คนที่ตบตีกับเราบ่อยๆ อยู่ๆก็มาปกป้องเราเนี่ย555
ภาพสุดท้ายที่จำได้คือพี่ชายบียืนกางแขน ทำหน้าอึนๆ ดูน่าสงสารชะมัด

และเรื่องราวนี้เป็นเรื่องที่ยังอยู่ในความทรงจำของบีเสมอ จนวันนี้เลยนะ
เวลาที่มีคนบอกว่า "ผู้ชายเลวทุกคน" บีจะเถียงในใจเลยว่า พี่ชายฉันไม่เลวนะ อย่างน้อยก็ไม่เลวกับฉัน 

ตลอดชีวิตวัยเด็กของบี พี่ชายบีคือเด็กผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษที่สุด และปกป้องบีเสมอ
แม้ว่าเราจะเตะต่อยกันบ่อยก็ตาม5555

อีกเรืองหนึ่งที่บีอยากจะแชร์คือเรื่องของเพื่อนคนหนึ่งค่ะ เรื่องนี้ขอตั้งชื่อว่า
 "สุจิตตา"
ตามชื่อของเพื่อนคนนั้นแล้วกันนะคะ

    เรื่องนี้เกิดขึ้นราวๆบีอยู่ชั้นป.1 ค่ะ ตอนนั้นบีเริ่มมีเพื่อนคบแล้วค่ะ ดีใจจัง5555
อย่างที่บีเกริ่นไปว่าบีปรับตัวยาก และรู้สึกว้าเหว่ในสมัยอนุบาล เลยอาจเป็นสาเหตุทำให้บีเป็นคนเห็นใจคนอื่นอยู่เสมอ

เรื่องครั้งนั้นเกิดขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง สุจิตตาตัวเอกของเรื่อง ดันฉี่รดกระโปรง

ฝ่ายเพื่อนผู้ชายรู้ก็ล้อกันใหญ่ เล่นเอาสุจิตตาเสียเซลฟ์ไปเยอะเหมือนกัน
ฝ่ายเพื่อนผู้หญิงก็ซุบซิบๆกัน พร้อมกับมาบอกบีว่า 

"สุญญตา เธออย่าไปใกล้สุจิตตานะ สุจิตตาปัสสาวะราดกระโปรง"

ในวัยนั้น บีเองก็คงพยักหน้าหงึกๆ ไม่เถียงเพื่อน แต่ก็ไม่ได้คิดจะทำตามที่เพื่อนบอก

ในเย็นวันนั้นเหมือนเป็นช่วงเย็นที่แสนเศร้าของสุจิตตา หน้าตาเธอดูเศร้านิดหน่อย ถ้าให้พูดกันตามตรงก็คือ เพื่อน boycott เธอแล้วหล่ะ

ต้องบอกเลยว่า ตามปกติแล้วสุจิตตาเป็นคนที่มีความเป็นผู้นำพอสมควร สังเกตุได้จากทุกวันตอนเย็นก่อนเลิกเรียน  ครูจะให้เด็กๆตั้งแถวเป็น 3 แถว โดยแบ่งเป็นผู้ชาย 1 แถว และผู้หญิง 2 แถว ด้วยความที่ประชากรผู้หญิงเยอะกว่านั่นเอง
และสุจิตตามักจะทำหน้าที่เป็นผู้นำสุภาพสตรีเสมอ ด้วยการยืนเป็นหัวแถวคนแรก
สุจิตตาเธอแมนมากๆ ฉันยังกล้าๆกลัวๆที่จะเป็นหัวแถวเลย

วันนั้นก็เช่นทุกวัน สุจิตตายังคงทำหน้าที่ของเธออย่างคงเส้นคงวา แต่ที่แปลกไปเห็นจะเป็นว่า แถวของสุจิตตานั้นมันช่างสั้นกุด ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือ ไม่มีใครนั่งต่อแถวเธอเลยต่างหาก 
เด็กหญิงต่างพูดกันว่า  "นั่งแถวสุชาวดีกัน สุจิตตาปัสสาวะรดกระโปรง"

พอ ด.ญ.สุญญตา (บีเอง5555)เห็นแบบนั้นก็กลัวว่าสุจิตตาจะเศร้า ก็เลยจะรับอาสาไปต่อท้ายสุจิตตาเอง
"สุญญตา อย่าไปนั่งตรงนั้น " เสียงเพื่อนสักคนพูดกับบี

แต่เห็นจะถูกที่ว่าบีเป็นคนรั้น เหมือนอย่างที่แม่ชอบบอก กระทั่งทุกวันนี้แม่ก็ยังชอบพูดว่า

 "น้องบีรั้นอีกแล้ว ไม่เชื่อแม่อีกแล้ว"
"น้องบีรั้นอีกแล้ว ไม่เชื่อแม่อีกแล้ว"
"น้องบีรั้นอีกแล้ว ไม่เชื่อแม่อีกแล้ว"

ประโยคติดหูบีมากจริงๆ

ในที่สุด บีก็ไปนั่งกับสุจิตตาจนได้ และเหมือนว่าเพื่อนๆคนอื่นจะไม่มีใครมานั่งต่อจากบี กลายเป็นว่าแถวนั้นเหลือกันอยู่แค่2 คน 

เศร้าจัง สงสารสุจิตตา พลางสงสารตัวเอง

แต่ I don't worry. ฉันไม่แคร์จ้า

สำหรับเรื่องนี้ บียังรู้สึกว่าตัวเองเป็นฮีโร่อยู่ทุกวันนี้ กลับไปคิดกี่ครั้งก็รู้สึกว่า ตอนเด็กนี่บีเป็นเด็กที่อ่อนโยนจริงๆ 
ก็อย่างที่บีบอก คงเป็นเพราะว่า สมัยอนุบาล1 บีไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ บีเลยเข้าใจและเห็นใจความรู้สึกคนอื่นเสมอ
และมันก็กลายเป็นนิสัยของบีไป ที่ไม่ว่าจะมีใครสักคนเอาเรื่องไม่ดีของบุคคลที่3มาพูดยังไง หากบีไม่ได้สัมผัสกับตัวจริงๆ ต่อให้มีปืนมาจ่อหัว แล้วบอกว่าบีต้องเชื่อนะ บีก็ตัดใจเชื่อไม่ได้
แต่หากบีได้สัมผัสการกระทำในหลายๆมุมที่ไม่ดีของเขาแล้ว ต่อให้คนอื่นจะมาพูดว่าเขาแสนดียังไง
บีก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะปักใจเชื่่อได้สำเร็จ

แต่บีเห็นหลายๆคนนะ ที่ไหวไปตามลมปาก พอใครมากล่าวว่า คนนี้เป็นคนไม่ดีเช่นไร ก็เชื่อไปตามที่เขาพูดเสียหมด ไม่มีความคิดและจิตใจอันเข้มแข็ง


จะว่าไปแล้ว เรื่องคนดี คนชั่ว ความดี ความเลว 
นี่ไม่อาจใช้แบ่งแยกอะไรได้จริงๆเสียเลย
ในเมื่อคนทุกคนย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นการจะระบุลงไปว่าคนๆนั้นเป็นคนเช่นไร 
เห็นจะไม่สมควรและไม่ถูกต้องสักเท่าไหร่

เอาเป็นว่า เรียนรู้ที่จะชื่นชมในคุณความดีของคนอื่นและยอมรับในนิสัยอันเลวร้ายของเขาได้

ชีวิตเราก็จะพบพาลแต่ความสบายใจแล้วหล่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น